การทำงานยุคใหม่ให้ความสำคัญกับการทำงานเป็นทีม ต่างคนต่างต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน และจะต้องหันหน้าเข้าหากันคิดร่วมกัน ทำร่วมกัน งานจึงจะสำเร็จได้อย่างดี ถ้าต่างคนต่างคิดว่า ตนเองเก่ง ไม่ยอมใคร ไม่รับความช่วยเหลือจากผู้อื่นและไม่ยอมให้ผู้อื่นรับความช่วยเหลือจากตน ผลที่ตามมาคือความล่มสลาย การประสานร่วมมือกันของมนุษย์ไม่เหมือนเครื่องจักรที่ถูกกำหนด หน้าที่ของแต่ละชิ้นส่วน เครื่องจักรถูกกำหนดโดยกลไกโดยที่ทุกส่วนทำหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ มัน เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เพราะมันไม่มีชีวิต แต่มนุษย์มีชีวิตจิตใจ แต่ละคนในทีมเป็นชิ้นส่วนที่มีชีวิต  ถึงแม้แต่ละส่วนจะถูกกำหนดหน้าที่ก็ตาม กระนั้นแต่ละส่วนมีอิสระที่จะทำหรือไม่ทำ ทำเต็มที่เต็มใจ หรือ ทำเต็มที่ไม่เต็มใจก็ได้ ผู้ที่เข้าใจการทำงานเป็นทีมเขาจะไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว เขาจะตระ หนักและควบคุมตนเองให้อยู่ในกฎแห่งความเป็นทีม คิดถึงส่วนรวมกว่าส่วนตน

            ความสามัคคีที่พูดนี้ไม่อาจเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ และไม่ใช่เรื่องพลังปฏิหาริย์ แต่เป็นเรื่อง ที่แต่ละคนต้องใช้ความตั้งใจและความพยายามอย่างสูงเพื่อให้เกิดขึ้นได้ วันนี้ขอแนะนำสูตร 4 A เพื่อนำมาใช้สร้างความสามัคคีในการทำงานและชีวิตภายในครอบครัว

            1. Attitude ทัศนคติ ทัศนคติคือความคิดและความรู้สึกที่เรามีต่อบุคคลอื่น ถ้าภายในใจเรามีอคติต่อบุคคลใด มีความไม่ชอบเพราะกลัวว่าผู้นั้นจะเป็นอุปสรรคขัดขวางทางเดินของเรา ไม่

ชอบเพราะเขาไม่ยอมเรา ไม่ใช่คนภาคเดียวกับเรา ฯลฯ ความคิดและความรู้สึกเช่นนี้เป็นอุปสรรคอย่างยิ่งในการทำงานเป็นทีม แต่ถ้าเรามองดูเขาด้วยใจเป็นธรรม รับเขาอย่างที่เขาเป็น มองเห็นความแตกต่าง ความหลากหลาย คือ ต้นทุนอันมีค่า ด้วยท่าทีเช่นนี้จะทำให้เกิดบรรยากาศแห่งการร่วมมือกัน

  1. Agreement เห็นด้วยกัน ความเห็นพ้องในที่นี้หมายถึงวัตถุประสงค์ เป้าหมายและค่านิยมในทีม ถ้าเราไม่สามารถพูดคุยจนตกลงกันได้ว่า วัตถุประสงค์ของการรวมทีมคืออะไร มีเป้า หมายอะไร และค่านิยมของทีมคืออะไร แล้วมาอยู่ด้วยกันและทำงานร่วมกัน สภาพเช่นนี้เปรียบเรือ ที่มีคนพายหลายคน ออกจากฝั่งไปต่างคนต่างพายโดยไม่มีใครรู้ว่าจุดหมายปลายทาง ท่าจอดจะอยู่ที่ ไหน แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับเรือและคนที่อยู่ในเรือลำนั้น ฉะนั้นก่อนลงมือทำอะไรตกลงกันให้ดี เสียก่อน
  2. Adjustment การปรับ จัด ขยับ การจัดการกับตัวเองเป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวข้องกับการ เสริมสร้างความสามัคคีอย่างยิ่ง แต่ละคนจะต้องอยู่ในสภาพพร้อมที่จะปรับตัวเองด้านอารมณ์ คำพูด และการแสดงออกในแต่ละสถานการณ์ เราต้องไวต่อสภาวการณ์ อะไรที่มากไป ใช้ อารมณ์มากไป พูดดังไป รุนแรงไป แสดงออกมากไป หรือ เงียบเกินไปล้วนมีอิทธิพลต่อความมั่นคงของทีมงาน ความพอดี ของแต่ละภาวะและสถานการณ์ไม่เคยเหมือนกัน ฉะนั้นแต่ละคนจะต้องตื่นตัวเฝ้าระวังตนเองตลอดเวลา

            4.  Alignment การประสานงาน ผู้เป็นหัวหน้าทีม ต้องทำหน้าที่จัดรูปองค์การและจัดคน

เข้าทำงาน ผู้นำจะต้องเป็นกาวใจ เชื่อมโยง ประสานให้ทุกฝ่ายร่วมกันทำงานโดยไม่มีลำดับชั้นของอำนาจ ผู้นำของทีมทำหน้าที่เหมือนนิ้วหัวแม่มือ เพราะนิ้วนี้เป็นนิ้วเดียวที่สามารถประสาน ติดต่อกับทุกนิ้วได้ ความเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพจึงขึ้นอยู่กับคุณภาพของผู้นำของแต่ละทีมอย่างมาก

             โดยสรุปถ้าเราต้องการเห็นความสามัคคีในทีมงานและครอบครัว เราจึงต้องมาพิจารณาปัจจัยที่กล่าวมาแล้วคือ ทัศนคติ ความเห็นพ้อง การปรับตัว และการประสานกันดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น สิ่งเหล่านี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้โดยเพียงแต่คิดหรือรู้เท่านั้น แต่เราจะต้องเพียรพยายามพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากสถานการณ์ใหม่ๆที่เข้ามาจนกว่าชีวิตหาไม่